ทำไมการเลือกสีเกรดสำหรับโครงการอสังหาฯ จึงสำคัญ?
การวางแผนเลือกสีสำหรับโครงการอสังหาริมทรัพย์ ไม่ใช่แค่เรื่องความสวยงาม แต่ยังส่งผลต่อค่าใช้จ่ายระยะยาว ภาพลักษณ์ และความประทับใจของลูกบ้านในอีกหลายปีข้างหน้า สีเกรดที่เลือกจึงมีความสำคัญอย่างมากสำหรับนักพัฒนาอสังหาและผู้รับเหมา การเลือกสีผิด อาจทำให้ซ่อมบำรุงบ่อย งบบานปลาย หรือบ้านหมองเร็วกว่าที่ควร
ประเภทและเกรดของสีทาบ้านยอดนิยมในโครงการอสังหาฯ
ตารางเปรียบเทียบเกรดสีสำหรับโครงการอสังหา
เกรดสี |
อายุรับประกัน |
เหมาะกับโครงการ |
ราคาต่อถังโดยประมาณ |
7 ปี |
7 ปี |
อาคารพาณิชย์/ทาวน์โฮม |
700–900 บาท |
10 ปี |
10 ปี |
บ้านเดี่ยว/คอนโดระดับกลาง |
900–1,100 บาท |
15 ปี |
15 ปี |
บ้านและคอนโดพรีเมียม |
1,500–1,900 บาท |
สีเกรด 15 ปี เหมาะกับโครงการไหน?
- เหมาะกับโครงการบ้านหรู, คอนโด Hi-End, หมู่บ้านจัดสรรที่ต้องการลดค่าบำรุงรักษาในอนาคต
- ทนต่อแดดจ้า ฝนตกชุก สีสดไม่ซีดจาง
- ลดรอบการทาสีใหม่ ประหยัดค่าแรงช่างในระยะยาว
สีเกรด 10 ปี คุ้มค่าสำหรับโครงการระดับกลาง
- เหมาะกับโครงการบ้านเดี่ยว, อาคารชุด, หรือบ้านจัดสรรในเมือง
- ให้สีสันสวยงาม คุมต้นทุน คุ้มค่าใช้งาน 8–10 ปี
สีเกรด 7 ปี สำหรับเซ็กเมนต์ราคาประหยัดและอาคารพาณิชย์
- เหมาะกับทาวน์โฮม, อาคารพาณิชย์, โครงการต้นทุนต่ำ
- ประหยัดงบ เหมาะงานที่เน้นราคาก่อนคุณภาพ
ปัจจัยที่ควรพิจารณาก่อนเลือกเกรดสีในโครงการ
1. กลุ่มเป้าหมายและภาพลักษณ์โครงการ
- โครงการหรู = สีเกรดสูง ยืดอายุโครงการ
- โครงการกลาง = เน้นงบประมาณเหมาะสม ภาพลักษณ์ยังดูดี
- โครงการพาณิชย์ = เน้นต้นทุนต่ำ แต่ต้องดูแลความสวยงามเบื้องต้น
2. แรงงานและต้นทุนแฝง
- ค่าแรงช่างมักสูงกว่าค่าสี หากเลือกสีเกรดสูง (ทา 1 รอบทนเทียบเท่าสีถูก 2–3 รอบ) จะช่วยเซฟค่าแรงในอนาคต
3. เทคโนโลยีและคุณสมบัติพิเศษของสี
- ฟิล์มกันน้ำ (Hydrophobic) ป้องกันคราบน้ำ/ตะไคร่
- กันรังสียูวี ป้องกันสีซีด
- กันเชื้อรา/ป้องกันโรค
- ทาสะอาดง่าย
ตัวอย่างสีเกรดสูงที่โครงการชั้นนำใช้
TOA SuperShield
- พรีเมียมเกรด อายุงานสูงสุด 15 ปี
- ประหยัดค่าใช้จ่ายระยะยาว ทา 1 รอบ ทนเท่าสีทั่วไป 3 รอบ
- มีทั้งเนียนและกึ่งเงา เหมาะกับภายในและภายนอก
สีทาบ้านยอดนิยมอื่นๆ
- Jotun Majestic, Nippon Paint Odour-less, Dulux Weathershield Ultra
เทคนิคเลือกสีให้ตอบโจทย์แต่ละ Segment
บ้านหรู/คอนโด Hi-End
- เลือกเกรด 15 ปี สีพรีเมียม
- โทนสีหรู (ขาว ไอวอรี่ เทา)
- เลือก Finish แบบเนียน/เงาสูง
บ้านเดี่ยว/บ้านจัดสรรในเมือง
- เกรด 10 ปี โทนสีสดใส สุภาพ
- เน้นภาพลักษณ์ดูแลง่าย
อาคารพาณิชย์/ทาวน์โฮม
- เกรด 7 ปี สีพื้นฐาน
- เน้นกันแดด ทนฝน ดูแลไม่ยุ่งยาก
สรุปแนวคิดและ Checklist ก่อนตัดสินใจ
- ✅ วิเคราะห์กลุ่มเป้าหมายและ Segment
- ✅ วางงบประมาณให้สัมพันธ์กับอายุการใช้งาน
- ✅ เลือกสีเกรดสูงสำหรับโครงการที่ต้องการภาพลักษณ์และลดบำรุงระยะยาว
- ✅ ไม่มองแค่ราคาต่อถัง แต่ให้คิดต้นทุนค่าแรงและ Maintenance ระยะยาว
- ✅ เลือกผลิตภัณฑ์ที่มีเทคโนโลยีป้องกันเชื้อรา, รังสี UV และคราบสกปรก
- ✅ เปรียบเทียบคุณสมบัติของแบรนด์ยอดนิยม เช่น TOA, JOTUN, NIPPON
สีทาบ้านที่เหมาะสม = ต้นทุนคุ้มค่า + ภาพลักษณ์โครงการโดดเด่น + ยืดอายุการใช้งานยาวนาน
สรุปการเลือกเกรดสีสำหรับโครงการอสังหาฯ: สวย ทน และคุ้มงบ
หลักเกณฑ์สำคัญในการเลือกสีสำหรับโครงการอสังหาฯ
- เกรดของสีเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดในการวางแผนงบประมาณและยืดอายุการใช้งาน โดยทั่วไป สีทาบ้านจะแบ่งเป็นหลายเกรด ตามอายุการรับประกันและคุณสมบัติ เช่น เกรด 5 ปี, 7 ปี, 10 ปี และ 15 ปี
- สีเกรดสูง (เช่น 15 ปี) เหมาะกับโครงการกลาง-บน หรือคอนโด/บ้านแพง เนื่องจากมีความทนทานต่อแดดและฝน สีสด ไม่ซีดจางง่าย และลดค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาในระยะยาว สีเกรดนี้ราคาเริ่มต้นประมาณ 1,700 บาท/ถัง ในขณะที่เกรด 10 ปี ประมาณ 1,000 บาท/ถัง
- สำหรับโครงการเซกเมนต์กลาง-ล่าง หรืออาคารเชิงพาณิชย์ที่ต้องคิดต้นทุนเข้มงวด อาจเลือกสีเกรด 7-10 ปี เพื่อสมดุลระหว่างงบประมาณและอายุการใช้งาน
ตัวอย่างสีเกรดสูงที่โครงการชั้นนำเลือกใช้
- สี TOA SuperShield พรีเมียมเกรด อายุงานสูงสุด 15 ปี ประหยัดค่าใช้จ่ายระยะยาว (ทา 1 รอบทนเท่าสีทั่วไป 3 รอบ)
- มีให้เลือกทั้งแบบเนียน และกึ่งเงา เหมาะสำหรับงานภายนอกและภายใน
- นวัตกรรมสีเกรดสูงเหล่านี้นอกจากความทนทานต่อสภาพอากาศ ยังช่วยป้องกันเชื้อรา ตะไคร่น้ำ และทำความสะอาดง่าย
แนวคิดการเลือกสีให้เหมาะกับโครงการ
- โครงการบ้านหรู/คอนโดระดับพรีเมียม: ควรใช้สีภายนอกเกรด 15 ปี เพื่อความโดดเด่นและลดค่าบำรุงระยะยาว
- โครงการระดับกลางในเมือง: เลือกสีเกรด 10 ปี เหมาะกับงบประมาณ คุมค่าใช้จ่ายได้ และยังให้ภาพลักษณ์ดี
- อาคารพาณิชย์หรือทาวน์โฮม: สีเกรด 7 ปี ก็เพียงพอสำหรับการใช้งานทั่วไป
ข้อควรคำนึงอื่นๆ
- ค่าแรงช่างมักสูงกว่าค่าสีเสมอ ดังนั้นการเลือกสีเกรดสูงที่ทาเพียงรอบเดียวแต่ทนกว่าในระยะยาว จะช่วยประหยัดค่าแรงซ่อมแซมภายหลังได้มาก
- เทคโนโลยีของสี เช่น ฟิล์มกันน้ำ กันรังสียูวี ป้องกันเชื้อรา มีผลต่อความทนทานและสุขภาพของผู้อยู่อาศัย